• Home page
  • Blogs Room
  • Data Center คืออะไร? ทำไมจึงสำคัญต่อธุรกิจ
25 Apr 2025

Data Center คืออะไร? ทำไมจึงสำคัญต่อธุรกิจ

Data Center คืออะไร? ทำไมจึงสำคัญต่อธุรกิจ

ในยุคดิจิทัลที่ข้อมูลกลายเป็นทรัพยากรสำคัญของทุกองค์กร Data Center หรือศูนย์ข้อมูลได้กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำเนินธุรกิจสมัยใหม่ Data Center เปรียบเสมือนหัวใจของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทำหน้าที่จัดเก็บ ประมวลผล และกระจายข้อมูลจำนวนมหาศาลอย่างมีประสิทธิภาพ ความสำคัญของ Data Center ทวีมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในประเทศไทยที่กำลังก้าวสู่เศรษฐกิจดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกเกี่ยวกับ Data Center ทั้งในแง่ของความหมาย องค์ประกอบ ประเภท ความสำคัญต่อธุรกิจ ตลอดจนแนวโน้มและการพัฒนาในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของประเทศไทย


Data Center คืออะไร

Data Center หรือศูนย์ข้อมูล คือสถานที่ที่รวบรวมระบบคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เครือข่ายจำนวนมากเพื่อจัดเก็บ ประมวลผล และกระจายข้อมูลขององค์กร Data Center ประกอบด้วยอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์หลายประเภท เช่น เซิร์ฟเวอร์ อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล อุปกรณ์เครือข่าย และระบบสนับสนุนต่าง ๆ อย่าง ระบบระบายความร้อน ระบบไฟฟ้าสำรอง และระบบรักษาความปลอดภัย

Data Center มีความสำคัญอย่างยิ่งในการรองรับการทำงานของแอปพลิเคชั่นและบริการต่างๆ ขององค์กร ตั้งแต่อีเมล เว็บไซต์ ระบบฐานข้อมูล ไปจนถึงบริการคลาวด์ และแอปพลิเคชั่นที่ซับซ้อนอื่นๆ ความสามารถในการทำงานได้อย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์ โดยไม่มีการหยุดชะงัก เป็นคุณสมบัติสำคัญของ Data Center ที่มีประสิทธิภาพ


องค์ประกอบหลักของ Data Center

Data Center ที่สมบูรณ์ประกอบด้วยองค์ประกอบหลักหลายส่วน ได้แก่

1. เซิร์ฟเวอร์ (Servers) เป็นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลและให้บริการแก่ผู้ใช้งาน เซิร์ฟเวอร์ใน Data Center มักถูกจัดวางในตู้แร็ค (Rack) เพื่อประหยัดพื้นที่และจัดการได้อย่างมีระเบียบ

2. ระบบจัดเก็บข้อมูล (Storage Systems) ประกอบด้วยอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลประเภทต่าง ๆ เช่น Hard Disk Drive (HDD), Solid State Drive (SSD), Network Attached Storage (NAS) และ Storage Area Network (SAN) เพื่อรองรับการจัดเก็บข้อมูลปริมาณมหาศาล

3. อุปกรณ์เครือข่าย (Network Equipment) รวมถึงสวิตช์ (Switches), เราเตอร์ (Routers), ไฟร์วอลล์ (Firewalls) และอุปกรณ์กระจายสัญญาณอื่นๆ ที่ช่วยในการเชื่อมต่อและส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ ภายใน Data Center และเชื่อมต่อกับโลกภายนอก

4. ระบบไฟฟ้า (Power Systems) ประกอบด้วยระบบจ่ายไฟหลัก เครื่องสำรองไฟฟ้า (UPS) และเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรอง (Generator) เพื่อรับประกันว่า Data Center จะทำงานได้อย่างต่อเนื่องแม้ในกรณีที่ไฟฟ้าดับ

5. ระบบระบายความร้อน (Cooling Systems) อุปกรณ์ IT ในศูนย์ข้อมูลสร้างความร้อนจำนวนมาก ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีระบบระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพ เช่น เครื่องปรับอากาศอุตสาหกรรม ระบบทำความเย็นแบบน้ำ หรือเทคโนโลยีระบายความร้อนสมัยใหม่อื่นๆ

6. ระบบรักษาความปลอดภัย (Security Systems) รวมถึงระบบรักษาความปลอดภัยทางกายภาพ เช่น ประตูควบคุมการเข้าถึง กล้องวงจรปิด และระบบตรวจจับการบุกรุก รวมถึงระบบรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ เช่น ไฟร์วอลล์ ระบบตรวจจับการบุกรุกทางเครือข่าย (IDS/IPS) และระบบป้องกันมัลแวร์

7. ระบบจัดการและควบคุม (Management and Monitoring Systems) เครื่องมือและซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการตรวจสอบและจัดการทรัพยากรภายใน Data Center รวมถึงระบบแจ้งเตือนและรายงานสถานะการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ


ประเภทของ Data Center

Data Center สามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามขนาด การใช้งาน และรูปแบบการบริหารจัดการ ดังนี้

1. Enterprise Data Center เป็น Data Center ที่องค์กรสร้างและบริหารจัดการเองเพื่อรองรับการใช้งานภายในองค์กร มีข้อดีคือสามารถปรับแต่งให้ตรงกับความต้องการเฉพาะขององค์กรได้ แต่มีค่าใช้จ่ายในการลงทุนและบำรุงรักษาที่สูง

2. Colocation Data Center เป็นรูปแบบที่องค์กรเช่าพื้นที่ในศูนย์ข้อมูลของผู้ให้บริการเพื่อติดตั้งอุปกรณ์ของตนเอง โดยผู้ให้บริการจะดูแลโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ไฟฟ้า ระบบระบายความร้อน และการรักษาความปลอดภัย ในขณะที่องค์กรยังคงมีอำนาจควบคุมอุปกรณ์ของตนเอง

3. Cloud Data Center เป็นศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ที่ให้บริการคลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) แก่ลูกค้าหลายราย โดยลูกค้าสามารถใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์ผ่านอินเทอร์เน็ต โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนในฮาร์ดแวร์เอง

4. Edge Data Center เป็นศูนย์ข้อมูลขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ใกล้กับผู้ใช้งานหรือแหล่งที่มาของข้อมูล เพื่อลดเวลาในการตอบสนอง (Latency) และเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผลข้อมูล Edge Data Center มีความสำคัญมากขึ้นในยุคของ Internet of Things (IoT) และแอปพลิเคชั่นที่ต้องการการตอบสนองแบบเรียลไทม์

5. Hyperscale Data Center เป็นศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่มากที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการขยายตัวอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูง มักถูกใช้โดยบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เช่น Google, Amazon, Microsoft ที่ต้องรองรับผู้ใช้งานและข้อมูลจำนวนมหาศาล


มาตรฐานและการจัดระดับของ Data Center

Data Center มักถูกจัดระดับตามมาตรฐาน Tier ของ Uptime Institute ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ระดับ ดังนี้

  • Tier I เป็นศูนย์ข้อมูลพื้นฐานที่มีเส้นทางการจ่ายไฟและระบบระบายความร้อนเพียงเส้นทางเดียว ไม่มีระบบสำรอง มีความพร้อมใช้งาน (Availability) ประมาณ 99.671% ต่อปี หรือมีเวลาหยุดทำงานสูงสุดประมาณ 28.8 ชั่วโมงต่อปี
  • Tier II มีเส้นทางการจ่ายไฟและระบบระบายความร้อนเพียงเส้นทางเดียว แต่มีระบบสำรองบางส่วน มีความพร้อมใช้งานประมาณ 99.741% ต่อปี หรือมีเวลาหยุดทำงานสูงสุดประมาณ 22.7 ชั่วโมงต่อปี
  • Tier III มีหลายเส้นทางสำหรับการจ่ายไฟและระบบระบายความร้อน แต่ใช้งานเพียงเส้นทางเดียวในแต่ละครั้ง (N+1) ทำให้สามารถซ่อมบำรุงได้โดยไม่ต้องหยุดระบบ มีความพร้อมใช้งานประมาณ 99.982% ต่อปี หรือมีเวลาหยุดทำงานสูงสุดประมาณ 1.6 ชั่วโมงต่อปี
  • Tier IV มีหลายเส้นทางสำหรับการจ่ายไฟและระบบระบายความร้อนที่ทำงานพร้อมกัน (2N) มีการแยกระบบอย่างสมบูรณ์ และมีความทนทานต่อความล้มเหลวทั้งหมด (Fault Tolerance) มีความพร้อมใช้งานประมาณ 99.995% ต่อปี หรือมีเวลาหยุดทำงานสูงสุดประมาณ 0.4 ชั่วโมงต่อปี

มาตรฐานเหล่านี้มีความสำคัญต่อองค์กรในการเลือกใช้บริการ Data Center เนื่องจากเกี่ยวข้องโดยตรงกับความน่าเชื่อถือและความต่อเนื่องในการให้บริการ


ความสำคัญของ Data Center ต่อธุรกิจและองค์กร

Data Center มีความสำคัญต่อธุรกิจและองค์กรในหลายด้าน ดังนี้

1. การรักษาความปลอดภัยของข้อมูล
ในยุคที่ข้อมูลมีความสำคัญเสมือนทรัพย์สินขององค์กร การรักษาความปลอดภัยของข้อมูลจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง Data Center ที่ได้มาตรฐานมีระบบรักษาความปลอดภัยทั้งทางกายภาพและทางไซเบอร์ที่ครอบคลุม ช่วยปกป้องข้อมูลสำคัญจากการโจรกรรม การสูญหาย และภัยคุกคามต่างๆ การมีระบบรักษาความปลอดภัยที่แข็งแกร่งยังช่วยให้องค์กรสามารถปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูล เช่น พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ในประเทศไทย และ General Data Protection Regulation (GDPR) ในยุโรป

2. ความต่อเนื่องทางธุรกิจ
Data Center ที่มีประสิทธิภาพมีระบบสำรองและความทนทานต่อความล้มเหลว (Redundancy and Fault Tolerance) ที่ช่วยให้ระบบสามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องแม้ในกรณีที่เกิดปัญหาหรือภัยพิบัติ เช่น ไฟฟ้าดับ ภัยธรรมชาติ หรืออุปกรณ์เสียหาย ความต่อเนื่องทางธุรกิจเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในยุคดิจิทัล เนื่องจากการหยุดชะงักของระบบ IT แม้เพียงชั่วโมงเดียวอาจส่งผลให้เกิดความเสียหายทางธุรกิจอย่างมหาศาล ทั้งในแง่ของรายได้ที่สูญเสียไป ความเชื่อมั่นของลูกค้า และโอกาสทางธุรกิจ

3. ประสิทธิภาพและความยืดหยุ่น
Data Center สมัยใหม่ถูกออกแบบมาให้มีประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับขนาดตามความต้องการ (Scalability) ได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มหรือลดทรัพยากรคอมพิวเตอร์ตามความต้องการทางธุรกิจ ความยืดหยุ่นนี้ช่วยให้องค์กรสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดและความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ทำให้มีความได้เปรียบในการแข่งขันและสามารถคว้าโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ได้

4. การประหยัดต้นทุนและทรัพยากร
การใช้บริการ Data Center ในรูปแบบ Colocation หรือ Cloud สามารถช่วยลดต้นทุนด้าน IT ขององค์กรได้อย่างมาก เนื่องจากองค์กรไม่จำเป็นต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ การบำรุงรักษา และบุคลากรผู้เชี่ยวชาญ แต่สามารถแบ่งปันทรัพยากรและค่าใช้จ่ายกับผู้ใช้บริการรายอื่นๆ นอกจากนี้ Data Center ที่มีการจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพยังช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นประเด็นที่ทั่วโลกให้ความสำคัญมากขึ้นในปัจจุบัน

5. การปฏิบัติตามกฎระเบียบและมาตรฐาน
อุตสาหกรรมหลายประเภทมีกฎระเบียบเกี่ยวกับการจัดการข้อมูล Data Center ที่ได้มาตรฐานช่วยให้องค์กรสามารถปฏิบัติตามกฎระเบียบเหล่านี้ได้ เช่น มาตรฐาน ISO/IEC 27001 สำหรับความปลอดภัยของข้อมูล, PCI DSS สำหรับข้อมูลบัตรเครดิต, หรือ HIPAA สำหรับข้อมูลสุขภาพในสหรัฐอเมริกา การปฏิบัติตามกฎระเบียบไม่เพียงแต่ช่วยหลีกเลี่ยงบทลงโทษทางกฎหมาย แต่ยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจอีกด้วย


Data Center ในประเทศไทย

ตลาด Data Center ในประเทศไทยกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วและมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ดังนี้

สถานการณ์ปัจจุบันของตลาด Data Center ในไทย
ปัจจุบันตลาด Data Center ในประเทศไทยมีมูลค่าประมาณ 1.56 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ข้อมูลปี 2024) และคาดว่าจะเติบโตถึง 3.19 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 12.66% การเติบโตนี้เป็นผลมาจากการพัฒนาด้านดิจิทัลอย่างรวดเร็วและการขยายตัวของเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งทำให้ความต้องการใช้บริการ Data Center เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก

ในปี 2022 เศรษฐกิจดิจิทัลของไทยเติบโตถึง 14% คิดเป็นมูลค่าตลาดประมาณ 70 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้เกิดความต้องการบริการ Data Center ที่เพิ่มขึ้น การพึ่งพาเทคโนโลยีในชีวิตประจำวันที่มากขึ้นและการขยายตัวของธุรกิจเทคโนโลยีในหลากหลายภาคส่วน ทำให้การมีโซลูชันจัดเก็บข้อมูลที่น่าเชื่อถือและปลอดภัยเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง


การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์ของ Data Center ในไทย

การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์ของ Data Center ในประเทศไทยปัจจุบันยังคงกระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯ และพื้นที่โดยรอบ แต่กำลังขยายไปสู่ภูมิภาคสำคัญอื่นๆ มากขึ้น กรุงเทพฯ ยังคงเป็นศูนย์กลางหลักของความจุ Data Center ในประเทศไทย โดยมีกำลังการผลิตมากกว่า 80 MW และคิดเป็นเกือบ 60% ของทั้งหมดในประเทศ


พื้นที่สำคัญอื่นๆ สำหรับ Data Center ในไทย ได้แก่

1. เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ครอบคลุมจังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง กำลังเป็นพื้นที่สำคัญสำหรับการพัฒนา Data Center โดยมีการสร้าง Data Center Park โดยเฉพาะ แสดงให้เห็นถึงการมุ่งเน้นเชิงกลยุทธ์ของรัฐบาลในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้

2. สมุทรปราการ เป็นที่ตั้งของ Data Center สำคัญหลายแห่ง เช่น Bridge Data Centres และ Etix Bangkok #1

3. ปทุมธานี เป็นที่ตั้งของศูนย์ข้อมูลของ AIS

4. เชียงใหม่ กำลังเติบโตเป็นภูมิภาคสำหรับ Data Center โดยมีผู้ให้บริการอย่าง Edge Centres ที่มุ่งเน้นการให้บริการ Edge Computing ในพื้นที่ท้องถิ่น

5. ภาคใต้ของไทย ได้รับการระบุว่าเป็นพื้นที่ที่มีกิจกรรม Data Center เพิ่มขึ้น โดยสงขลาถูกกล่าวถึงในฐานะจุดเชื่อมต่อสำหรับสายเคเบิลใต้น้ำ


โครงการนิคมอุตสาหกรรม เอส อ่างทอง

นอกจากศูนย์ข้อมูลที่มีอยู่แล้วในประเทศไทย ยังมีการพัฒนาโครงการนิคมอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่รองรับการสร้าง Data Center เช่น นิคมอุตสาหกรรม เอส อ่างทอง ซึ่งเป็นนิคมอุตสาหกรรมที่มีพื้นที่ทั้งหมด 1,776 ไร่ ตั้งอยู่บนถนนสายเอเชีย กม.63 ตำบลไชยภูมิ อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง

นิคมอุตสาหกรรมนี้มีแนวคิด "สร้างคุณค่าเพื่ออนาคต" และทำงานตามแผนพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีระบบสาธารณูปโภคที่ครบครัน ประกอบด้วย

1. ระบบไฟฟ้า โรงไฟฟ้า BGPA 1, 2, 3 กำลังการผลิตรวม 400 MW สามารถจ่ายไฟ 22kV & 115kV และมีโครงการพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์แบบลอยน้ำ (Floating Solar) เพื่อเป็นพลังงานทางเลือกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

2. ระบบน้ำ อ่างเก็บน้ำขนาด 384 ไร่ เก็บน้ำได้ 6.12 ล้านลูกบาศก์เมตร สถานีสูบน้ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา  2,000 ลูกบาศก์เมตร/ชั่วโมง และระบบกำลังการผลิตน้ำเพื่ออุตสาหกรรม 9,800 ลูกบาศก์เมตร/วัน

3. ระบบคมนาคม ถนนสายหลัก (ถนนสายเอเชีย) กว้าง 125 เมตร, ถนนสายรอง กว้าง 20 เมตร, และเครือข่ายโทรคมนาคมระบบ 5G และบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง

4. ระบบบำบัดน้ำเสีย ปริมาณ 6,600 ลูกบาศก์เมตร/วัน

5. กำแพงป้องกันน้ำท่วม แนวกำแพงป้องกันน้ำท่วม รอบพื้นที่นิคม มีความสูง +10.5 เมตร จากระดับน้ำทะเล อ้างอิงจากการศึกษาผลกระทบน้ำท่วม 100 ปี

โครงการนี้แบ่งพื้นที่การใช้งานเป็นโซนต่างๆ ดังนี้

  • โซนอุตสาหกรรม (992.90 ไร่) แบ่งเป็น อุตสาหกรรมทั่วไปและอุตสาหกรรมอาหาร
  • โซนธุรกิจ (34.2 ไร่)
  • พื้นที่สีเขียวและแนวกันชน (147.01 ไร่)
  • ระบบสาธารณูปโภค (215.23 ไร่)
  • อ่างเก็บน้ำ (384 ไร่)

การเดินทางมายังนิคมอุตสาหกรรมนี้สามารถเข้าถึงได้ทั้งทางบก (ถนนสายเอเชีย), ทางน้ำ (ท่าเรือคลองเตย, ท่าเรือแหลมฉบัง, ท่าเรือนครหลวง), ทางรถไฟ (สถานีรถไฟลพบุรี, สถานีรถไฟอยุธยา), และทางอากาศ (สนามบินดอนเมือง, สนามบินสุวรรณภูมิ, สนามบินอู่ตะเภา)

การพัฒนาโครงการเช่นนี้แสดงให้เห็นถึงการเตรียมพร้อมของประเทศไทยในการรองรับการเติบโตของความต้องการ Data Center ในอนาคต


นโยบายและมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ

การเติบโตของตลาด Data Center ในประเทศไทยได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขันจากนโยบายและมาตรการต่างๆ ของภาครัฐ ซึ่งมีส่วนสำคัญในการสร้างสภาพแวดล้อมการลงทุนที่เอื้ออำนวย โดยมีโครงการสำคัญ ได้แก่

1. นโยบายไทยแลนด์ 4.0 (Thailand 4.0) เป็นวิสัยทัศน์เชิงนโยบายที่มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยให้เป็นเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล รวมถึง Data Center

2. สิทธิประโยชน์จากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) BOI เสนอสิทธิประโยชน์ที่น่าดึงดูดใจมากมายสำหรับธุรกิจที่เข้ามาลงทุนในภาคส่วนนี้ รวมถึง

  • การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุดถึง 8 ปี
  • การยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับเครื่องจักร
  • การยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับรายได้ที่เกิดจากบริการ Data Center บางประเภท
  • สิทธิประโยชน์ที่ไม่เกี่ยวกับภาษี เช่น ใบอนุญาตสำหรับคนต่างชาติในการสำรวจโอกาสการลงทุน ใบอนุญาตสำหรับแรงงานที่มีทักษะ สิทธิในการถือครองที่ดิน และเงื่อนไขการส่งเงินกลับประเทศที่เอื้อประโยชน์


3. นโยบาย "Cloud First" เป็นนโยบายที่มุ่งเร่งการใช้งานคลาวด์คอมพิวติ้งทั้งในภาครัฐและเอกชน ซึ่งส่งผลให้เกิดความต้องการโครงสร้างพื้นฐาน Data Center มากขึ้นโดยตรง

4. การพัฒนาโครงการพลังงานสะอาด รัฐบาลกำลังดำเนินโครงการนำร่องที่จะช่วยให้ Data Center สามารถซื้อพลังงานหมุนเวียนได้โดยตรง ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการสนับสนุนการดำเนินงานที่ยั่งยืนมากขึ้น

มาตรการเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยในการดึงดูดการลงทุนในภาคส่วน Data Center ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้


ความท้าทายและโอกาสสำหรับธุรกิจ Data Center ในไทย

แม้ว่าตลาด Data Center ในประเทศไทยจะมีแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่ง แต่ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ซึ่งในขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสสำหรับนวัตกรรมและการพัฒนา

ความท้าทาย

1. ความพร้อมใช้งานของพลังงานและต้นทุนพลังงาน Data Center เป็นผู้ใช้พลังงานรายใหญ่ และการรับประกันการจ่ายไฟที่เพียงพอและต่อเนื่องเป็นความท้าทายสำคัญ โดยเฉพาะสำหรับโครงการขนาดใหญ่ นอกจากนี้ ต้นทุนพลังงานในประเทศไทยค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านบางประเทศ ซึ่งส่งผลต่อค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน

2. ข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐาน แม้ว่าโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของไทยจะพัฒนาอย่างรวดเร็ว แต่ในบางพื้นที่ โดยเฉพาะนอกเขตเมืองใหญ่ ยังมีข้อจำกัดด้านความเสถียรของโครงข่ายไฟฟ้าและการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูง

3. ความซับซ้อนของกฎระเบียบและการปฏิบัติตามข้อกำหนด การจัดตั้งและดำเนินการ Data Center ในประเทศไทยต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบต่างๆ รวมถึงการขอใบอนุญาตและการปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ซึ่งอาจมีความซับซ้อนและใช้เวลานาน

4. ความกังวลด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน การใช้พลังงานจำนวนมากของ Data Center และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมกำลังเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะในสภาพอากาศร้อนชื้นของประเทศไทยที่ต้องการระบบทำความเย็นที่ใช้พลังงานสูง

โอกาส

1. การพัฒนาในภูมิภาคที่ยังไม่ได้รับการบริการอย่างเต็มที่ แม้ว่า Data Center ส่วนใหญ่จะกระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯ และพื้นที่โดยรอบ แต่มีโอกาสในการขยายไปยังภูมิภาคอื่นๆ เช่น เชียงใหม่ สงขลา และอ่างทอง ซึ่งจะช่วยลดเวลาในการตอบสนอง (Latency) และปรับปรุงการเข้าถึงบริการดิจิทัลสำหรับประชากรทั่วประเทศ

2. โซลูชัน Data Center เฉพาะทาง มีโอกาสในการพัฒนา Data Center ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับความต้องการของอุตสาหกรรมเฉพาะ เช่น การเงิน การดูแลสุขภาพ หรือการศึกษา โดยมุ่งเน้นที่การปฏิบัติตามกฎระเบียบเฉพาะของอุตสาหกรรมและความต้องการด้านความปลอดภัย

3. เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ประเทศไทยมีศักยภาพในการเป็นผู้นำในการพัฒนา Data Center ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยใช้พลังงานหมุนเวียน เทคโนโลยีทำความเย็นที่มีประสิทธิภาพ และแนวปฏิบัติการก่อสร้างที่ยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอนของประเทศ

4. การลงทุนจากบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก การที่บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอย่าง AWS, Google, Microsoft และ Alibaba Cloud กำลังลงทุนในประเทศไทยไม่เพียงเพิ่มความจุของ Data Center แต่ยังนำเทคโนโลยีล้ำสมัยและแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดมาสู่ตลาดอีกด้วย

5. การพัฒนา Edge Computing การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทยและการเติบโตของ IoT สร้างโอกาสในการพัฒนา Edge Data Center ที่ตั้งอยู่ใกล้กับผู้ใช้ปลายทางมากขึ้น ลดความล่าช้าในการตอบสนองและปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้


แนวโน้มของ Data Center ในอนาคต

อุตสาหกรรม Data Center กำลังก้าวเข้าสู่ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าของการจัดการข้อมูลและการให้บริการดิจิทัล ต่อไปนี้คือแนวโน้มสำคัญที่จะมีผลต่ออนาคตของ Data Center ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก


เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่น่าจับตามอง

1. Edge Computing เทคโนโลยีนี้จะมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในยุคของ 5G และ IoT ที่ต้องการการประมวลผลข้อมูลใกล้กับแหล่งที่มาของข้อมูลมากขึ้น Edge Data Center ขนาดเล็กที่กระจายตัวอยู่ทั่วประเทศจะช่วยลด Latency และเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับแอปพลิเคชั่นที่ต้องการการตอบสนองแบบเรียลไทม์

2. ปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ของเครื่อง (AI และ ML) การใช้ AI และ ML ในการจัดการและเพิ่มประสิทธิภาพ Data Center จะมีบทบาทสำคัญมากขึ้น ตั้งแต่การบำรุงรักษาเชิงทำนาย (Predictive Maintenance) ไปจนถึงการจัดสรรทรัพยากรอัจฉริยะและการตรวจจับภัยคุกคามด้านความปลอดภัย โดยเฉพาะในประเทศไทยที่กำลังเตรียมพร้อมรับมือกับความต้องการด้านการประมวลผล AI ที่เพิ่มขึ้น

3. การใช้พลังงานหมุนเวียนและการออกแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ความยั่งยืนจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญในอุตสาหกรรม Data Center โดยจะมีการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และแหล่งพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ มากขึ้น รวมถึงการออกแบบอาคารและระบบทำความเย็นที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โครงการนำร่องของรัฐบาลที่อนุญาตให้ Data Center ซื้อพลังงานหมุนเวียนโดยตรงจะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนแนวโน้มนี้ในประเทศไทย

4. Hyperscale Data Center การเติบโตของ Cloud Computing และความต้องการทรัพยากรการประมวลผลที่เพิ่มขึ้นจะผลักดันให้เกิดการพัฒนา Hyperscale Data Center ขนาดใหญ่มากขึ้นในประเทศไทย ดังที่เห็นได้จากโครงการของบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกที่กำลังลงทุนในประเทศไทย

5. ระบบทำความเย็นแบบใหม่ เทคโนโลยีทำความเย็นที่มีประสิทธิภาพสูง เช่น การทำความเย็นด้วยของเหลว (Liquid Cooling) จะมีความสำคัญมากขึ้นสำหรับการจัดการความร้อนที่เกิดจากเซิร์ฟเวอร์ความหนาแน่นสูงและการประมวลผล AI ซึ่งมีความเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับสภาพอากาศร้อนชื้นของประเทศไทย


ความยั่งยืนและการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

การพัฒนา Data Center ที่ยั่งยืนกำลังเป็นจุดมุ่งเน้นสำคัญในประเทศไทย โดยมีการดำเนินการที่น่าสนใจ ได้แก่

1. การใช้พลังงานหมุนเวียน ผู้ให้บริการหลายรายกำลังลงทุนในพลังงานแสงอาทิตย์และแหล่งพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ เช่น โครงการนิคมอุตสาหกรรม เอส อ่างทอง ที่มีการติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์แบบลอยน้ำ (Floating Solar) เพื่อเป็นพลังงานทางเลือกให้ผู้ประกอบการ

2. การปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน Data Center ในประเทศไทยกำลังมุ่งเน้นการปรับปรุงค่า Power Usage Effectiveness (PUE) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพพลังงาน โดยใช้เทคโนโลยีทำความเย็นที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและการออกแบบอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

3. การอนุรักษ์น้ำ เนื่องจากระบบทำความเย็นแบบดั้งเดิมใช้น้ำในปริมาณมาก จึงมีความพยายามในการลดการใช้น้ำและปรับปรุงค่า Water Usage Effectiveness (WUE) ผ่านเทคโนโลยีทำความเย็นแบบใหม่และการนำน้ำกลับมาใช้ใหม่

4. การรับรองสีเขียวและมาตรฐาน Data Center ใหม่ในประเทศไทยมักจะมุ่งมั่นที่จะได้รับการรับรองการก่อสร้างสีเขียว เช่น LEED และปฏิบัติตามมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานระหว่างประเทศ

5. การสนับสนุนจากรัฐบาล รัฐบาลไทยกำลังส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดในอุตสาหกรรม Data Center ผ่านโครงการนำร่องที่อนุญาตให้ Data Center ซื้อพลังงานหมุนเวียนโดยตรง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนงานสมาร์ทกริดและพลังงานสะอาดภายใต้นโยบายไทยแลนด์ 4.0 สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานในระยะยาวและสอดคล้องกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน


Data Center เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลและการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคดิจิทัลของประเทศไทย ตลาด Data Center ในประเทศไทยกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลายประการ ได้แก่ อัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่สูงขึ้น การเพิ่มขึ้นของการใช้งานบริการคลาวด์ นโยบายส่งเสริมการลงทุนจากภาครัฐ ตำแหน่งที่ตั้ง และโครงสร้างพื้นฐานด้านการเชื่อมต่อที่แข็งแกร่ง

Share :